RAID

RAID (Redundant Array of Independent Disks) หรือสมัยก่อนจะเรียกว่า (Redundant Array of Inexpensive Disks) เป็นการจัดเก็บข้อมูลไว้บน Hard Disks หลาย ๆ ลูกเป็น RAID Array เพื่อป้องกันข้อมูลหายในกรณี Disk เกิดเสียขึ้นมา โดย Hard Disks ที่มาทำ RAID Array ราคาไม่แพงแต่กลับได้ Performance ที่ดี


How to Work

RAID ทำงานโดยการ Read/Write ข้อมูลลงบน Hard Disk หลาย ๆ ตัวที่รวมกันเป็น Array เดียวกัน เพื่อให้การทำงานของ I/O ได้ Performance ที่ดี เนื่องจากการใช้ Hard Disk หลายตัวจะเพิ่มโอกาส Failure ในการ Read/Write ข้อมูล และเพิ่มโอกาส Fault Tolerance ในการทำ Redundant ของข้อมูล

RAID Level

การจัดการข้อมูลใน RAID Array แบ่งเป็นหลายระดับ Level แต่ละระดับจะมีความเร็ว Speed และความผิดพลาด Fault Tolerant ต่างกัน หากข้อมูลใน Hard Drive ตัวใดตัวหนึ่งเสียไปใน Array ข้อมูลจะถูกสร้างขึ้นใหม่โดยไม่มีการหยุดชะงัก แต่อาจจะเกิดการหน่วงสักระยะหนึ่ง โดย RAID Level แต่ละระดับ จะไม่ได้ทำ Redundant ทั้งหมด ระบบ Infrastructure ส่วนใหญ่ ต้องการ RAID 5 เป็นอย่างต่ำ เพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลพวก VM, File รวมถึงฐานข้อมูลใน Database

RAID 0 (Disk Striping)

RAID 0 จะ Split ข้อมูลเป็นหลาย ๆ Block กระจายเก็บไว้บน Hard Disk ที่เรามี ซึ่งการทำ RAID 0 จะช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากขึ้น หรือรองรับ Throughput สูง ๆ แต่จะไม่ทำ Redundant โดยจะมองเห็นเป็น Partition เดียวกัน หากเกิด Fault Tolerant ก็จะทำให้ข้อมูลสูญหาย มักใช้สำหรับการทำ Caching Live Stream หรือไฟล์ที่ต้องการความเร็วในการ Read/Write

Minimum : HDD 2 ลูกขึ้นไป
Pros : เพิ่ม Performance ในการ Read/Write
Cons : ไม่ทำ Redundancy
Use : Live Streaming, IPTV, VOD Edge Server

RAID 1 (Mirror)

RAID 1 จะทำการ Read/Write ลงบน Hard Disk 2 ลูก ซึ่งจะได้ข้อมูลที่เหมือนกัน เรียกว่า การทำ Mirror หาก Hard Disk เกิดเสียขึ้นมาก็ยังมีสำรอง และจะทำการ Replace Hard Disk ที่เสีย โดยการ Copy ข้อมูล เพื่อสร้าง Array ขึ้นมาใหม่ RAID 1 เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำ Failover Storage

Minimum : HDD 2 ลูกขึ้นไป
Pros : ง่ายต่อการทำ Data Recovery และเพิ่มประสิทธิภาพในการ Read ข้อมูล
Cons : ได้ Capacity ที่ต่ำลง หรือ ต้นทุนสูงขึ้น เพราะต้องเพิ่ม Disk เป็นสองเท่าถึงจะได้ Capacity เท่าเดิม
Use : Application Servers ทั่ว ๆ ไป

RAID 5 (Strip with Parity)

RAID 5 จะทำการ Strip ข้อมูลเป็น Block เก็บไว้บน Hard Disk หลาย ๆ ตัว เหมือน RAID 0 แต่จะมีการเก็บ Parity Block ซึ่งจะใช้การ XOR เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เล็กลงแต่สามารถใช้ในการกู้คืนข้อมูลที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ หาก Hard Disk เกิดเสีย จะใช้ข้อมูลจาก Distribute Data ที่เก็บไว้ในที่ต่าง ๆ และ Parity Block โดยใช้พื้นที่ 1 ใน 3 ของ Capacity ทั้งหมด ซึ่งจะได้ทั้งความเร็วในการ Access และการทำ Redundant โดยใช้ Parity Bit

Minimum : HDD 3 ลูกขึ้นไป
Pros : เพิ่ม Performance ในการ Read/Write แต่จะน้อยกว่า RAID 0
Cons : ลด Performance รวมถึงของ Server ในการ Write ข้อมูลเพราะจะมี Parity Overhead
Use : File Storage Server และ Application Server

RAID 6 (Strip with Dual Parity)

RAID 6 จะคล้ายกับ RAID 5 แต่จะเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากมีการเก็บ Parity Block ไว้ 2 Hard Disk ทำให้สามารถกู้คืนข้อมูล Hard Disk ได้ถึง 2 ลูกพร้อม ๆ กัน

Minimum : HDD 4 ลูกขึ้นไป
Pros : เพิ่ม Redundant มากกว่า RAID 5 และเพิ่มประสิทธิภาพในการ Read ข้อมูล
Cons : ลด Performance รวมถึงของ Server ในการ Write ข้อมูลจำนวนมากเพราะจะมี Parity Overhead
Use : File Storage Server และ Application Server ที่มีขนาดใหญ่

RAID 10 (Mirror Over Strip)

RAID 10 เป็นการนำข้อดีของ RAID 1 ในการทำ Redundant และ RAID 0 ซึ่งมี Performance ที่ดีมารวมกัน จะเหมาะกับงานที่ต้องการ Performance และ Security สูง

Minimum : HDD 4 ลูกขึ้นไป
Pros : เพิ่ม Performance สูงม่าก
Cons : ได้ Capacity ที่ต่ำลง หรือ ต้นทุนสูงขึ้น และจำกัดการ Scalability
Use : Database Server ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการ Write ข้อมูล

อ่านเพิ่มเติม : https://bit.ly/2F6MGlO


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *